ติดต่อเรา
THE NINE CENTER RAMA 9
ศูนย์การค้า เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ แห่งแรก บนถนนพระราม 9 เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าครอบครัว ทุกเพศทุกวัย ประกอบด้วย อาคาร 2 ชั้น 3 ชั้น และ 4 ชั้น และร้านค้าชั้นนำหลากหลายกว่า 100 ร้านค้า บนพื้นที่กว่า 20,000 ตรม. โดยศูนย์การค้า เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 ตั้งอยู่บนถนนพระรามเก้า มุ่งสู่สนามบินสุวรรณภูมิ และจังหวัดในภาคตะวันออก ของไทย ภายใต้มาตรฐานการก่อสร้าง และดำเนินการอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา ด้วยการลงทุนที่ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า นับเป็นก้าวสำคัญของการพลิกโฉม แยกพรีเมียร์พระรามเก้า สู่การเป็นคอมมูนิตี้ มอลล์ จุดนัดพบ และ One-Stop Service
-
999,999/1-4 ถนนพระราม 9, สวนหลวง, กรุงเทพฯ 10250
เปิดทุกวัน 10.00 น. – 20.00 น.
Term & Condition
บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เคารพและให้ความสำคัญในสิทธิความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า คู่ค้าธุรกิจ และพันธมิตรทางธุรกิจ โดย บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการคุ้มครองข้อมูลของลูกค้า ในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ส่ง และ/หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปยังบุคคลอื่น ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจากการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดและรักษาข้อมูลดังกล่าวให้ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากลูกค้าในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้จัดทำนโยบายฉบับนี้ขึ้นดังมีข้อความต่อไปนี้
1. คำนิยาม
ในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ คำหรือข้อความว่า
“ลูกค้า” | หมายถึง ลูกค้าหรือผู้ซื้อหรือใช้บริการต่างๆของบริษัท รวมถึงการใช้บริการเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นหรือบริการอื่นๆของบริษัท ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา |
“บริษัท” | หมายถึง บริษัท เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ จำกัด |
“บริษัทในกลุ่มเอ็มบีเค” | หมายถึง บริษัทที่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในทุกๆ ทอด ทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของทุนชำระแล้วของบริษัทนั้น โดยมีรายชื่อตามที่ระบุไว้ในข้อ 5. |
บริษัทในเครือ | บริษัทต่างๆที่มีความสำพันธ์ในด้านการบริหารหรือเงินทุน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นร่วมกันหรือมีกรรมการร่วมกัน หรือบริษัทหนึ่งเข้าไปถือหุ้นกับอีกบริษัทหนึ่ง |
“เว็บไซต์” | หมายถึง เว็บไซต์ ซึ่งบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของหรือให้บริการแล้วแต่กรณี |
“แอปพลิเคชั่น” | หมายถึง MBK Application และหรือแอปพลิเคชันซึ่งบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ให้บริการ อนึ่ง นโยบายคุ้มครองส่วนบุคคลนี้ใช้บังคับกับแอปพลิเคชันในส่วนที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง อัพเดต หรือเพิ่มเติมโดยบริษัทด้วย เว้นแต่แอปพลิเคชันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง อัพเดต หรือเพิ่มเติมดังกล่าวจะถูกบังคับใช้ตามเงื่อนไขและข้อตกลงต่างหากจากนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ |
“ผู้ควบคุมข้อมูล” | หมายถึง บริษัทซึ่งมีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้ข้อมูลส่วนบุคคลจากลูกค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้าหรือต้องทำหรือปฏิบัติตามสัญญากับลูกค้า |
“เจ้าหน้าที่คุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคล” | หมายถึง เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 |
“ผู้ประมวลผลข้อมูล” | หมายถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บริษัท |
“ข้อมูลส่วนบุคคล” | หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 |
“พันธมิตรทางธุรกิจ” | หมายถึง คู่ค้าซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท หรือทำงานร่วมกับบริษัทดังมีรายชื่อปรากฏในข้อ 5. |
2. บททั่วไป
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้จัดทำขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดและวิธีการคุ้มครองและจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยบริษัทอาจดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ รวมถึงที่ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะเจาะจงอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนี้ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการให้บริการและหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ลูกค้าจึงควรติดตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำหนดไว้นี้อยู่เสมอ อย่างไรก็ดี บริษัทจะเผยแพร่การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนี้ และในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ บริษัทจะแจ้งให้ลูกค้าทราบ
อนึ่ง นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้มีขึ้นเพื่อใช้กับ
1)การให้บริการศูนย์การค้า ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าพื้นที่ ให้บริการพื้นที่เพื่อการค้า โรงแรม ร้านอาหาร และบริการต่างๆ ของบริษัท
2) การลงทะเบียนสมัครใช้บริการแอปพลิเคชัน
3) การใช้บริการหรือซื้อสินค้า การเข้าถึงและใช้เนื้อหา ฟีเจอร์ เทคโนโลยี หรือฟังก์ชันที่ปรากฏในเว็บไซต์นี้หรือแอปพลิเคชันกับบริษัท และ
4) บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการให้บริการอื่นๆของบริษัท ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่บริษัทจะได้พัฒนาหรือจัดให้มีขึ้นในอนาคต
3. การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลหลายวิธี รวมถึงการใช้เทคโนยีต่าง ๆ เช่น คุกกี้ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนข้อมูลเล็ก ๆ ที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์ของลูกค้าที่จะทำให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันสามารถจดจำข้อมูลการเข้าถึงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน หรือวิธีที่ลูกค้าใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันในแต่ละครั้ง (ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้) โดยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าที่บริษัทเก็บประกอบไปด้วย
3.1. ข้อมูลที่ลูกค้าให้ไว้โดยตรง บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นจะต้องใช้เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าหรือต้องทำหรือปฏิบัติตามสัญญาหรือต้องปฏิบัติตามกฎหมาย บริษัทจะรวบรวมข้อมูลที่ลูกค้าส่งให้กับบริษัท เช่น ข้อมูลที่ลูกค้ากรอกขณะลงทะเบียนสมัครใช้บริการหรือขอใช้บริการต่างๆ ของบริษัท ข้อมูลที่ใช้ในการสมัครใช้บริการหรือขอใช้บริการต่างๆ และข้อมูลการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ข้อมูลการทำแบบสำรวจ ข้อมูลบัญชีผู้ใช้งาน (Account) หรือข้อมูลที่ลูกค้าได้แก้ไขปรับปรุงในข้อมูลบัญชีผู้ใช้งาน (Account) ของลูกค้า หรือข้อมูลที่ได้จากการที่ลูกค้าติดต่อกับบริษัทหรือทีมงานของบริษัท หรือข้อมูลที่ได้จากบัญชีผู้ใช้งาน (Account) อื่น ๆ ที่บริษัทมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าลูกค้าควบคุมดูแลอยู่ ข้อมูลทุกชนิดที่แสดงบนหน้าประวัติผู้ใช้งานและหน้าการสมัครบริการต่าง ๆ เช่น คำนำหน้าชื่อ ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือเดินทาง(สำหรับชาวต่างชาติ) รหัสบัตรประจำตัว วันเดือนปีเกิด เพศ สัญชาติ รายได้ต่อเดือน ที่อยู่ที่ติดต่อได้ เบอร์โทรศัพท์มือถือที่ติดต่อได้ อีเมล Social network: Line หรือ Facebook รูปถ่าย ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้งาน ความสนใจ การงาน ลายมือชื่อ และความเห็นทุกอย่างที่ลูกค้าได้แสดงผ่านเว็บไซต์ เป็นต้น
สำหรับข้อมูลส่วนบุคคลที่กฎหมายระบุให้ต้องขอความยินยอมจากลูกค้าก่อนทำการเก็บรวบรวม บริษัทจะเก็บรวบรวมเพียงเท่าที่จำเป็น เมื่อได้รับความยินยอมจากลูกค้า เว้นแต่เป็นกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายให้บริษัทสามารถเก็บรวบรวมได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากลูกค้า
ในบางกรณี เพื่อการให้บริการต่างๆ หรือเพื่อการดำเนินการอื่นใดของบริษัทตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งในกรณีเช่นว่านี้ บริษัทจะแจ้งให้ลูกค้าทราบและขอความยินยอมจากลูกค้า เพื่อเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษนั้นตามแต่ละวัตถุประสงค์เพื่อการนั้นๆ เว้นแต่เป็นการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษที่บริษัทสามารถทำได้ตามกฎหมายโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากลูกค้า
3.2. ข้อมูลที่ได้รับจากการใช้บริการของลูกค้าบริษัทจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่ลูกค้าใช้และวิธีการใช้งานของลูกค้า เช่น ข้อมูลภาพและเสียง ข้อมูลอุปกรณ์ที่ลูกค้าใช้สำหรับการเข้าใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (Log) ข้อมูลการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้าและผู้ใช้งานรายอื่น และข้อมูลจากการบันทึกการใช้งาน เช่น ตัวระบุอุปกรณ์ หมายเลข Internet Protocol Address (IP Address) ของคอมพิวเตอร์ รหัสประจำตัวอุปกรณ์ ประเภทอุปกรณ์ ข้อมูลเครือข่ายมือถือ ข้อมูลการเชื่อมต่อ ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ (Location) โดยใช้เทคโนโลยีระบุตำแหน่ง เช่น ที่อยู่ IP, GPS ประเภทของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เปิดดูเว็บไซต์ (Browser) ข้อมูลบันทึกการเข้าออกเว็บไซต์ ข้อมูลเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานเข้าถึงก่อนและหลัง (Referring Website) ข้อมูลบันทึกประวัติการใช้เว็บไซต์ ข้อมูลบันทึกการเข้าสู่ระบบ (Login Log) ข้อมูลรายการการทำธุรกรรม (Transaction Log) พฤติกรรมการใช้งาน (Customer Behavior) ประวัติการแลกรับของรางวัลหรือใช้สิทธิประโยชน์ สถิติการเข้าเว็บไซต์ เวลาที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Access Time) ข้อมูลที่ลูกค้าค้นหาหรือเข้าชม ข้อมูลการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) การใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ในเว็บไซต์ และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายกัน เป็นต้น
อนึ่ง ภายในพื้นที่ส่วนรวมของอาคาร ทางเข้าออกอาคาร มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อการรักษาความปลอดภัย การที่ลูกค้าติดต่อสื่อสารกับบริษัทหรือทีมงานของบริษัทจะมีการบันทึกเสียงหรือภาพ หรือบันทึกรายละเอียดการติดต่อสื่อสารกับบริษัทด้วยวิธีการอื่น
รายละเอียดข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของข้อมูล บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น และเก็บรวบรวมเป็นระยะเวลานานเท่าที่จำเป็นตามแต่ละประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลและวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ซึ่งปัจจุบันบริษัทกำหนดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้นานที่ สุดเป็นระยะเวลา 10 ปี นับจากวันที่ลูกค้ายกเลิกการใช้บริการหรือสิ้นสุดสัญญากับบริษัท เมื่อพ้นระยะเวลาจัดเก็บของข้อมูลแต่ละประเภทแล้ว บริษัทจะดำเนินการทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมและการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลตามที่ระบุไว้ใน ข้อ 4
4. วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้หรือเปิดเผย
บริษัทเก็บรวบรวมและนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้หรือเปิดเผยในวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
4.1. เพื่อให้การใช้บริการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับกฎหมาย หลักเกณฑ์ และระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องหรือใช้บังคับกับบริษัท ทั้งที่มีผลใช้บังคับในปัจจุบันและที่จะมีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมในอนาคต
4.2. เพื่อประโยชน์ในการยืนยันหรือระบุตัวตนของลูกค้าเมื่อเข้าใช้งานบริการต่าง ๆ การทำสัญญา การปฏิบัติตามสัญญา และการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าการให้บริการต่างๆ ดังกล่าว รวมถึงการสื่อสารทั้งหมดของบริษัทมีความปลอดภัยและเป็นความลับ
4.3. เพื่อตรวจสอบข้อมูลการใช้บริการของลูกค้า ตามมาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงของระบบในการใช้บริการ การจัดการและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งบริษัทอาจนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า เพียงเท่าที่จำเป็นและอาจดำเนินการให้มีการเข้ารหัส (Encrypt) ก่อนนำไปใช้และ/หรือจัดให้มีการสุ่มตรวจ การทดสอบการเข้าใช้งานโดยบุคคลอื่นเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยง ตรวจจับ ป้องกัน หรือขจัดการฉ้อโกง หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นการละเมิดกฎหมาย ระเบียบการใช้งานที่เกี่ยวข้อง หรือข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบริษัท และเพื่อการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงของระบบ
4.4. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการงานด้านต่าง ๆ แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น
4.5. เพื่อติดต่อลูกค้า ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) โทรศัพท์ ข้อความ (SMS) อีเมล(E-mail) หรือไปรษณีย์ หรือผ่านช่องทางอื่นใด เพื่อสอบถาม หรือแจ้งให้ลูกค้าทราบ หรือตรวจสอบและยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีของลูกค้า หรือสำรวจความคิดเห็น หรือแจ้งข้อมูลข่าวสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ของบริษัทตามที่จำเป็น
4.6. เพื่อประมวลผล วิเคราะห์ประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น เพื่อประโยชน์ในการตั้งค่าและการจัดการบัญชี การส่งมอบการสื่อสารการตลาด และกิจกรรมการศึกษา วิจัย จัดทำสถิติ สำรวจ วิจัยและพัฒนาการจัดหาสินค้าและบริการ พัฒนาการให้บริการ จัดทำและนำส่งข้อมูลทางการตลาดหรือการโฆษณาภายในกลุ่มบริษัท หรือเพื่อเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดส่งเนื้อหา การโฆษณาประชาสัมพันธ์ กิจกรรมและโปรโมชันต่างๆ ตลอดจนการให้คำแนะนำต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อให้การให้บริการต่าง ๆ ให้ตรงกับความสนใจของลูกค้า การทำให้เป็นส่วนตัวของเนื้อหาข้อมูลธุรกิจหรือประสบการณ์ของผู้ใช้ ป้องกันการฉ้อโกง ตลอดจนเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อกำหนดการตรวจสอบภายใน
4.7. เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อ ชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของลูกค้า รวมถึงทรัพย์สินของลูกค้า หรือเป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่บริษัทหรือลูกจ้างหรือผู้แทนของบริษัท หรือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
4.8. เพื่อทำการตลาดร่วมกัน (Share marketing) กับบริษัทในกลุ่มเอ็มบีเค โดย บริษัท เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้บริษัทในกลุ่มเอ็มบีเค เพื่อวัตถุประสงค์ในการ 1) ติดต่อสื่อสาร ให้ข้อมูล หรือ แนะนำสินค้าหรือบริการต่าง ๆ 2) นำเสนอรายการส่งเสริมการขาย กิจกรรมการตลาด ส่วนลด โปรโมชั่น และ สิทธิประโยชน์ที่จาก บริษัทในกลุ่มเอ็มบีเค และ/หรือพันธมิตรทางธุรกิจ รวมไปถึง 3)ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ตามพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า (Customer Profiling) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีเฉพาะบุคคล หรือที่เหมาะสม หรือ ที่ลูกค้าอาจสนใจผ่านระบบ Loyalty/Reward Program ทั้งนี้โดยการขอความยินยอมจากลูกค้าก่อน
5. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อบุคคลที่สามโดยปราศจากการยินยอมจากลูกค้า เว้นแต่เป็นกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายให้บริษัทสามารถเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากลูกค้า อย่างไรก็ดี เพื่อประโยชน์ในการให้บริการแก่ลูกค้า และ/หรือ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท และ/หรือ เพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดตามที่ได้อธิบายไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้กับบริษัทในกลุ่มเอ็มบีเคหรือพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งทำงานร่วมกับบริษัทหรือบุคคลอื่นที่ต้องทำงานให้บริษัทหรือลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เช่น บุคคลที่บริษัทได้ว่าจ้างให้ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปใช้เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในด้านต่าง ๆ แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น หรือเพื่อปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการให้บริการและการเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ในเว็บไซต์ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันและเครือข่ายที่ให้บริการโดยบริษัท หรือ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการของบริษัท โดยในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการให้บุคคลเหล่านั้นเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไว้ด้วยมาตรการที่ปลอดภัยและเป็นความลับ และจะไม่นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากขอบเขตที่บริษัทได้กำหนดไว้
ในกรณีที่ลูกค้าเชื่อว่าบุคคลที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าตามข้างต้น ได้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากขอบเขตที่บริษัทได้กำหนดไว้ ลูกค้าสามารถแจ้งบริษัทเพื่อดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป โดยบริษัทขอแนะนำให้ลูกค้าตรวจสอบไปพร้อมกันด้วยว่า
ในกรณีที่ลูกค้าเชื่อว่าบุคคลที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าตามข้างต้น ได้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากขอบเขตที่บริษัทได้กำหนดไว้ ลูกค้าสามารถแจ้งบริษัทเพื่อดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป โดยบริษัทขอแนะนำให้ลูกค้าตรวจสอบไปพร้อมกันด้วยว่า
อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าได้มีการใช้งานเว็บไซต์ สินค้า หรือบริการของพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทหรือบุคคลอื่นโดยตรงโดยไม่เกี่ยวข้องกับการให้บริการหรือการดำเนินการของบริษัท ผู้ให้บริการหรือบุคคลอื่นเหล่านั้นอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลกับการใช้บริการของลูกค้าจากการใช้งานเว็บไซต์ สินค้า หรือบริการของผู้ให้บริการหรือบุคคลอื่นเหล่านั้นโดยตรง ซึ่งในกรณีดังกล่าวบริษัทไม่สามารถรับผิดชอบในความปลอดภัยหรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลใด ๆ ของลูกค้าที่เก็บรวบรวมโดยเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของผู้ให้บริการหรือบุคคลอื่นดังกล่าวเหล่านั้นได้ ลูกค้าจึงควรใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของผู้ให้บริการหรือบุคคลอื่นเหล่านั้นด้วย
นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น การเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการให้บริการ หรือหน่วยงานกำกับดูแลลูกค้า รวมถึงในกรณีที่มีการร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย อาทิ การร้องขอข้อมูลเพื่อการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย หรือเป็นการร้องขอจากหน่วยงานเอกชน หรือบุคคลภายนอกอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมาย รวมถึงในกรณีที่มีความจำเป็นตามสมควรในการบังคับใช้ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้ของบริษัท ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่มีการปรับโครงสร้างองค์กร การควบรวมบริษัท การขายกิจการ การขายสินทรัพย์บางประเภท บริษัทอาจถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ไปยังบริษัทที่เกี่ยวข้อง
ลูกค้าสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทในกลุ่มเอ็มบีเคหรือพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งทำงานร่วมกับบริษัทหรือบุคคลอื่นที่ต้องทำงานให้กับบริษัทหรือลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าด้วยได้จาก [รายชื่อบริษัทในกลุ่มเอ็มบีเคและพันธมิตรทางธุรกิจ] ทั้งนี้บริษัทในกลุ่มเอ็มบีเคหรือพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งทำงานร่วมกับบริษัทหรือบุคคลอื่นที่ต้องทำงานให้บริษัทหรือลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอาจมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ซึ่งบริษัทจะจัดทำรายชื่อของบุคคลที่บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าด้วยให้เป็นปัจจุบันเสมอ
6. การเข้าถึงและการปรับปรุงข้อมูลส่วนบุคคล
6.1. ในกรณีที่ลูกค้าไม่ประสงค์จะรับข้อมูลและข่าวสารประชาสัมพันธ์จากบริษัท โปรดแจ้งความประสงค์ได้ที่ MBK Contact Center: (66) 2853-9000 หรือ E-mail: mbkcontactcenter@mbkgroup.co.th
6.2. ลูกค้าสามารถกรอกแบบฟอร์ม “คำร้องขอเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล” และแจ้งมายังบริษัท เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามที่ลูกค้าร้องขอ ผ่านช่องทางการติดต่อบริษัทที่ระบุไว้ในข้อ 9 ในกรณีดังต่อไปนี้
– เมื่อลูกค้าเชื่อว่าบริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และลูกค้าประสงค์จะเข้าถึงหรือรับทราบรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่บริษัทได้เก็บรวบรวมไว้ หรือขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว
– เมื่อลูกค้ามีความประสงค์จะปรับปรุงแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าให้มีความถูกต้อง สมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน
หมายเหตุ ในกรณีที่ลูกค้าเป็นสมาชิกและใช้บริการ MBK Application ลูกค้าสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าในส่วนของข้อมูลที่ลูกค้าได้ให้ไว้ ผ่านการใช้บริการ MBK Application ได้ โดยการเข้าสู่ระบบ (Login) และไปยังเมนู “Setting ” > “ Profile” เพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง รวมถึงสามารถตั้งค่าการใช้งานในส่วนต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
– เมื่อลูกค้าประสงค์จะให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเป็นการชั่วคราว
– เมื่อลูกค้าประสงค์จะคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับลูกค้า รวมถึงคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า
– เมื่อลูกค้าประสงค์จะให้บริษัทดำเนินการลบข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าออกจากระบบ หรือฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัท
– เมื่อลูกค้าประสงค์จะถอนความยินยอมที่เคยให้แก่บริษัทในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า
– เมื่อลูกค้าประสงค์จะขอรับทราบความมีอยู่ ลักษณะของข้อมูลส่วนบุคคล วัตถุประสงค์ของการนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปใช้โดยบริษัท
– เมื่อลูกค้าประสงค์จะขอให้บริษัทเปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับลูกค้าในกรณีที่เป็นข้อมูลซึ่งลูกค้าไม่ได้ให้ความยินยอมให้การเก็บรวบรวม
โดยบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาตามคำร้องของลูกค้าภายใน 30 วันนับแต่วันที่บริษัทได้รับคำร้องขอดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถปฏิเสธการใช้สิทธิของลูกค้าได้ภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ หากบริษัทไม่สามารถดำเนินการตามคำขอของลูกค้าได้ บริษัทจะทำการบันทึกการปฏิเสธคำขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้
6.3. ในกรณีที่ลูกค้าไม่ยินยอมให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลบางประเภท หรือให้บริษัทดำเนินการลบข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าออกจากระบบของบริษัท หรือถอนความยินยอมที่ลูกค้าเคยให้ไว้อาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามคำขอของลูกค้าหรือให้บริการลูกค้าได้ หรืออาจทำให้บริการที่ลูกค้าได้รับจากบริษัทถูกจำกัด หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
6.4. ในกรณีที่ลูกค้าไม่ยินยอมให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลบางประเภท หรือให้บริษัทดำเนินการลบข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าออกจากระบบของบริษัท หรือถอนความยินยอมที่ลูกค้าเคยให้ไว้อาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามคำขอของลูกค้าหรือให้บริการลูกค้าได้ หรืออาจทำให้บริการที่ลูกค้าได้รับจากบริษัทถูกจำกัด หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
6.5. กรณีที่ลูกค้าเห็นว่าบริษัทเก็บรวมรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และลูกค้ามีความประสงค์จะที่ใช้สิทธิหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิของลูกค้า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ในเรื่องดังต่อไปนี้
- สิทธิในการได้รับแจ้งข้อมูล (Right to be Informed)
- สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (Right to Withdraw Consent)
- สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล (Right of Access)
- สิทธิในการแก้ไขข้อมูล (Right to Rectification)
- สิทธิในการลบข้อมูล (Right to Erasure)
- สิทธิในการจำกัดการประมวลข้อมูล (Right to Restrict Processing)
- สิทธิในการขอโอนข้อมูล (Right to Data Portability)
- สิทธิในการทักท้วง (Right to Object)
7. มาตรการความมั่นคงปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอย่างเคร่งครัด และบริษัทมีมาตรการรักษาความปลอดภัย รวมถึงมีระบบเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ปลอดภัยและเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าสูญหาย ถูกใช้ เข้าถึง เปลี่ยนแปลง หรือเปิดเผย โดยไม่ได้รับอนุญาต บริษัทจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าสำหรับพนักงาน ตัวแทน ผู้รับจ้างและบุคคลภายนอกที่มี 'ความจำเป็นต้องได้รับข้อมูล' และพวกเขาจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทกำหนดเท่านั้น
อนึ่ง บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งแก่ลูกค้าผู้เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และในกรณีที่บริษัทจะว่าจ้างบริษัทบุคคลภายนอก ให้ดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า บริษัทจะคัดเลือกบริษัทที่มีระบบการคุ้มครองข้อมูลที่ได้มาตรฐานและจัดทำข้อตกลงที่เกี่ยวกับการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามนโยบายเช่นเดียวกัน
ในกรณีที่มีเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเกิดขึ้น บริษัทจะแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ชักช้าภายใน 72 ชั่วโมง นับแต่ทราบเหตุเท่าที่สามารถกระทำได้ เว้นแต่การละเมิดดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของลูกค้า ในกรณีที่การละเมิดมีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของลูกค้า บริษัทจะแจ้งเหตุการณ์ละเมิดให้ลูกค้าทราบพร้อมกับแนวทางการเยียวยาโดยไม่ชักช้า
8. การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ผลิตภัณฑ์และบริการของบุคคลภายนอก
เว็บไซต์ของบริษัทอาจมีลิ้งก์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของบุคคลภายนอก ซึ่งบุคคลภายนอกเหล่านั้นอาจเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการใช้บริการของลูกค้า โดยบริษัทไม่สามารถรับผิดชอบในความปลอดภัยหรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูลใด ๆ ของลูกค้าที่เก็บรวบรวมโดยเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของบุคคลภายนอกดังกล่าว ลูกค้าควรใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของบุคคลภายนอกเหล่านั้นด้วย
9. การใช้บังคับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้มีผลใช้บังคับกับข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่บริษัทเป็นผู้เก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย และลูกค้าตกลงให้บริษัทมีสิทธิในการเก็บรวบรวม และนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่บริษัทได้เก็บรวบรวมไว้แล้ว (หากมี) ตลอดจนข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่บริษัทเก็บรวบรวมในปัจจุบัน และที่จะได้เก็บรวมรวมในอนาคต ไปใช้ หรือเปิดเผยแก่บุคคลอื่นภายในขอบเขตตามที่ระบุไว้ในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้
10. การทบทวนนโยบาย
ด้วยธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทบทวนนโยบายฉบับนี้ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
11. กฎหมายที่ใช้บังคับและเขตอำนาจศาล
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้อยู่ภายใต้การบังคับและตีความตามกฎหมายไทย และให้ศาลไทยเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาข้อพิพาทใดที่อาจเกิดขึ้น
12. ช่องทางการติดต่อ
หากลูกค้ามีข้อสงสัยหรือคำถามเกี่ยวกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ลูกค้าสามารถติดต่อมายัง บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ทางช่องทางดังต่อไปนี้
– ส่งจดหมายมายัง บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)
เลขที่ 444 ชั้น 8 อาคาร เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
– MBK Contact Center: (66) 2853-9000
– E-mail: mbkcontactcenter@mbkgroup.co.th
บริษัทได้มอบหมายและแต่งตั้งให้ นายอภิชาติ สุภาเดช เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยให้มีอำนาจและหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด และเป็นผู้ประสานงานเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท
สถานที่ติดต่อ: บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เลขที่ 444 ชั้น 8 อาคารเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
ช่องทางการติดต่อ: 02-8539000 ต่อ 7809
E-mail : apichart@mbkgroup.co.th
ในกรณีมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับบริษัท ลูกจ้างหรือพนักงานของบริษัทฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานกำกับดูแล ตามรายละเอียดดังนี้
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
สถานที่ติดต่อ: ชั้น 7 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนน แจ้งวัฒนะ แขวง ทุ่งสองห้อง เขต หลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
ทั้งนี้ เจ้าของข้อมูลจำต้องดำเนินการร้องเรียนภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด( สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยังมิได้กำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ จึงอยู่ในระหว่างการติดตามประกาศของสำนักงานดังกล่าว)
ประกาศ ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2563
[1] บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ จำกัด (“TNC”)บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด (“PDP”),บริษัท พาราไดซ์ เพลส สวนหลวง จำกัด (“PDPL”),บริษัท กลาสเฮ้าส์ บิลดิ้ง จำกัด (“GHB”),บริษัท กลาสเฮ้าส์ รัชดา จำกัด (“GHR”) บริษัท เอ็ม บี เค โฮเต็ล แอนด์ ทัวร์ริซึ่ม จำกัด (“MBK-HT”) บริษัท เอ็ม บี เค โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (“MBK-HR”) บริษัท เอ็ม บี เค การธุรกิจ จำกัด (“MBK-BUS”) บริษัท ทรัพย์สินธานี จำกัด (“SSTN”) บริษัท ลันตา แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (“LLD”) บริษัท แอ๊บโซลูท แทรเวิล จำกัด (“ALT”) บริษัท เอ็ม บี เค เรียล เอสเตท จำกัด (“MBK-RE”) บริษัท แปลน เอสเตท จำกัด (“PST”) บริษัท คริสตัล เลค พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด (“CLP”) บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) (“PRG”) และบริษัทย่อยของ PRG ได้แก่ บริษัท พีอาร์จี พืชผล จำกัด (“PRG-G”) บริษัท เอ็ม บี เค ฟู้ด แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (“MBK-FE”) บริษัท เอ็ม บี เค ฟู้ด ไอแลนด์ จำกัด (“MBK-FI”) บริษัท อินโนฟู้ด (ไทยแลนด์) จำกัด (“INF”) บริษัท เอ็ม บี เค เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (“MBK-RG”) บริษัท เอ็ม บี เค ฟู้ด เซอร์วิส จำกัด (“MBK-FSV”) บริษัท เอ็ม บี เค การันตี จำกัด (“MBK-G”)บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด (“TLS”) บริษัท เอ็ม บี เค ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“MBK-LIFE”) บริษัท ที เอ็ม โบรคเกอร์ จำกัด (“TMB”) บริษัท เอ็ม บี เค เทรดดิ้ง จำกัด (“MBK-TD”) บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด (“AAA”) บริษัท เอ็ม บี เค เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด (“MBK-TC”) บริษัท เอ็ม บี เค คลับ จำกัด (“MBK-CB”)ฯลฯ
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เนื่องจาก บริษัท เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ จำกัด ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นพนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้สมัครงานของบริษัท อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นส่วนตัวของบุคคล โดยเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลย่อมมีความประสงค์ที่จะให้ข้อมูลของตนได้รับการดูแลให้มีความมั่นคงปลอดภัย ประกอบกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้กำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรการในการกำกับดูแลการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และสิทธิต่างๆ ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจึงได้กำหนดนโยบายฉบับนี้ขึ้นเพื่อเป็นหลักในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้
1. คำนิยาม
ในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ คำหรือข้อความว่า
“บริษัท” |
หมายถึง บริษัท เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ จำกัด |
“เจ้าของข้อมูล” |
หมายถึง พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้สมัครงานของบริษัท ซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล |
“บุคคล” |
หมายถึง บุคคลธรรมดา |
“บริษัทในกลุ่มเอ็มบีเค” |
หมายถึง บริษัทที่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในทุกๆ ทอด ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุนชำระแล้วของบริษัทนั้น |
“เว็บไซต์” |
หมายถึง เว็บไซต์ ซึ่งบริษัท เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นเจ้าของหรือให้บริการแล้วแต่กรณี |
“แอปพลิเคชั่น” |
หมายถึง แอปพลิเคชันซึ่งบริษัท เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ จำกัด ให้บริการ อนึ่ง นโยบายคุ้มครองส่วนบุคคลนี้ใช้บังคับกับแอปพลิเคชันในส่วนที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง อัพเดต หรือเพิ่มเติมโดยบริษัทด้วยเว้นแต่แอปพลิเคชันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง อัพเดต หรือเพิ่มเติมดังกล่าวจะถูกบังคับใช้ตามเงื่อนไขและข้อตกลงต่างหากจากนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ |
“ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” |
หมายถึง บริษัทซึ่งมีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้ข้อมูลส่วนบุคคลจากเจ้าของข้อมูลหรือให้บริการแก่เจ้าของข้อมูลหรือต้องทำหรือปฏิบัติตามสัญญากับเจ้าของข้อมูล |
“เจ้าหน้าที่คุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคล” |
หมายถึง เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 |
“ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” |
หมายถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บริษัท |
“ข้อมูลส่วนบุคคล” |
หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 |
“พันธมิตรทางธุรกิจ” |
หมายถึง คู่ค้าซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท หรือทำงานร่วมกับบริษัท |
2. บททั่วไป
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้จัดทำขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดและวิธีการคุ้มครองและจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้สมัครงานของบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการให้บริการและหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เจ้าของข้อมูลจึงควรติดตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำหนดไว้นี้อยู่เสมอ
3. การเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
3.1 การเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะใช้วิธีการที่ชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล โดยบริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจำกัด และเป็นไปเพียงเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและตาม บทบัญญัติของกฎหมาย
3.2 บริษัทอาจเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลที่ได้ให้ไว้หรือมีอยู่กับบริษัท หรือที่บริษัทได้รับหรือเข้าถึงได้จากแหล่งอื่นที่น่าเชื่อถือ เช่น กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน บริษัทในกลุ่มเอ็ม บี เค เป็นต้น
3.3 ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล หรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นปัจจุบันแก่บริษัท อาจส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลที่อาจไม่สามารถทำธุรกรรมกับบริษัท หรืออาจไม่ได้รับความสะดวกหรือ ไม่ได้รับการปฏิบัติตามสัญญาที่มีอยู่กับบริษัท และอาจทำให้เจ้าของข้อมูลได้รับความเสียหายหรือเสียโอกาส และอาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติตามกฎหมายใดๆ ที่เจ้าของข้อมูลหรือบริษัทต้องปฏิบัติตาม
3.4 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผย
ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผย แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
(1) ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป เช่น
(ก) ข้อมูลแสดงตนของเจ้าของข้อมูล (Identification Information) และข้อมูลการติดต่อกับเจ้าของข้อมูล เช่น รูปภาพ ชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน สำเนาบัตรประชาชน เลขที่หนังสือเดินทาง (กรณีบุคคลต่างด้าว) เพศ วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ สถานภาพ ที่อยู่ อาชีพ สถานที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรสาร อีเมลแอดเดรส (E-mail address)
(ข) ข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ เช่น สถานภาพทางการสมรส ข้อมูลเกี่ยวกับบุตร รายละเอียดการติดต่อในกรณีฉุกเฉินและผู้รับผลประโยชน์
(ค) ข้อมูลเกี่ยวกับงาน เช่น ตำแหน่งหรือฐานะ ตำแหน่งงาน แผนก รายละเอียดเกี่ยวกับสัญญา ประวัติส่วนตัว ประวัติการจ้างงาน และใบสมัครงาน
(ง) ข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนและผลประโยชน์ของเจ้าของข้อมูล เช่น ข้อมูลค่าจ้าง เงินเดือน ค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
(จ) ข้อมูลบัญชีธนาคารสำหรับการจ่ายค่าจ้าง ผลตอบแทน หรือเงินสวัสดิการต่างๆ
(ฉ) ข้อมูลการขาดงาน เช่น วันที่ขาดงาน หรือการใช้วันหยุดพักร้อนและวันลาประเภทอื่นของเจ้าของข้อมูล
(ช) ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัย เช่น การประพฤติมิชอบหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในฐานะพนักงาน
(ซ) ประวัติการประเมินผล เช่น การประเมินผลการปฏิบัติงานและการพิจารณาทบทวนผลการปฏิบัติงาน
(ฌ) ประวัติการศึกษา เช่น ประวัติการเรียน ใบรับรองผลการศึกษา ประกาศนียบัตร
(ญ) สถานภาพทางทหาร
(ฎ) ข้อมูลการถือหลักทรัพย์และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
(2) ข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นข้อมูลอ่อนไหว (Sensitive Data) ซึ่งหมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นเรื่องส่วนตัวโดยแท้ของเจ้าของข้อมูล ตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 เช่น ข้อมูลชีวภาพ ข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือ ภาพสแกนใบหน้า (face scan / face recognition) ข้อมูลศาสนาตามที่ปรากฏรวมอยู่ในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (หากมี) ข้อมูลประวัติอาชญากรรมรวมถึงความผิดที่ถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องดำเนินคดี ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลสหภาพแรงงาน บริษัทไม่มีนโยบายจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นข้อมูลอ่อนไหวของเจ้าของข้อมูล ยกเว้น (1) ในกรณีที่บริษัทได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล หรือ (2) กรณีอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด
3.5 ระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลไว้ในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งต่อเจ้าของข้อมูล หรือตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในนโยบายฉบับนี้ โดยในกรณีที่เจ้าของข้อมูลยุติความสัมพันธ์หรือสิ้นสุดการจ้างกับบริษัท หรือไม่มีการใช้บริการหรือการทำธุรกรรมบริษัทแล้ว บริษัทจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลไว้เป็นเวลา 10 ปี หลังจากนั้น หรือจัดเก็บตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือตามอายุความ หรือเพื่อการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้
4. วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล และการดำเนิน การเกี่ยวกับข้อมูล
บริษัทอาจเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
4.1 วัตถุประสงค์ที่บริษัทจำเป็นต้องได้รับความยินยอม บริษัทอาศัยความยินยอมของเจ้าของข้อมูลในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อ วัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(1) การเก็บรวบรวม การใช้ และ/หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นข้อมูลอ่อนไหวของเจ้าของข้อมูล เพื่อ วัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(ก) ข้อมูลชีวภาพ เช่น ลายพิมพ์นิ้วมือ ภาพสแกนใบหน้า (face scan / face recognition) เพื่อการเข้าไปในอาคาร หรือเพื่อการเชื่อมต่อกับระบบงานต่างๆ ของบริษัท
(ข) ข้อมูลศาสนาตามที่ปรากฏรวมอยู่ในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (หากมี) เพื่อการยืนยันและพิสูจน์ตัวบุคคล
(ค) ประวัติอาชญากรรมและข้อมูลสุขภาพ เพื่อการพิจารณาใบสมัครงานและตัดสินใจจ้างงาน การคัดกรองประวัติ และการติดตามตรวจสอบ
(2) ในกรณีที่จำเป็นต้องโอนข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลไปยังประเทศที่อาจจะไม่มีระดับการคุ้มครอง ข้อมูลที่เพียงพอ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอม
4.2 วัตถุประสงค์ที่บริษัทอาจดำเนินการโดยอาศัยหลักเกณฑ์หรือฐานทางกฎหมายอื่น ๆ ในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล บริษัทอาจอาศัยหลักเกณฑ์หรือฐานทางกฎหมายดังต่อไปนี้เพื่อเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ซึ่งได้แก่
(1) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญา สำหรับการเข้าทำสัญญาจ้างงานหรือการปฏิบัติตามสัญญาจ้างงานกับเจ้าของข้อมูล
(2) เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
(3) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือของบุคคลภายนอก เพื่อให้สมดุลกับ ประโยชน์และสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล
(4) เพื่อการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล และ
(5) ประโยชน์สาธารณะ สำหรับการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐ
บริษัทจะอาศัยหลักเกณฑ์หรือฐานทางกฎหมายใน (1) ถึง (5) ข้างต้น เพื่อการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
กรณีผู้สมัครงาน
หากเจ้าของข้อมูลคือผู้สมัครงาน บริษัทจะอาศัยหลักเกณฑ์หรือฐานทางกฎหมายในข้อ 4.2 (1) ถึง (5) ข้างต้น เพื่อการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
• การประมวลผลใบสมัครของเจ้าของข้อมูลสำหรับการฝึกงาน งานนอกเวลา งานชั่วคราว หรือการจ้างงาน
• การยืนยันตัวบุคคลและการติดต่อ
• การประเมินและให้คะแนนผู้สมัคร เพื่อการตัดสินใจจ้าง
• การประเมินความเหมาะสม
• การกำหนดเงินเดือนหรือค่าตอบแทน และ อื่นๆ
• การคัดกรองประวัติ ตามเกณฑ์ของบริษัท หากเจ้าของข้อมูลได้รับการเสนอตำแหน่งงานกับบริษัท
• การติดต่อในกรณีฉุกเฉินไปยังบุคคลที่เจ้าของข้อมูลกำหนด
• วัตถุประสงค์อื่น ๆ ที่บริษัทต้องการอย่างสมเหตุสมผล ตามที่ระบุไว้ในใบสมัครงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องใด ๆ
กรณีพนักงานหรือลูกจ้างของบริษัท
หากเจ้าของข้อมูลคือพนักงานหรือลูกจ้างของบริษัท บริษัทจะอาศัยหลักเกณฑ์หรือฐานทางกฎหมายในข้อ 4.2 (1) ถึง (5) ข้างต้น เพื่อการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล เพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
• การสรรหาบุคลากร เช่น การตัดสินใจจ้างหรือเปลี่ยนแปลงประเภทของสัญญาจ้างงาน (เช่น การเปลี่ยนสถานภาพของเจ้าของข้อมูลจากผู้ฝึกงาน ลูกจ้างชั่วคราว หรืองานนอกเวลา เป็นพนักงานประจำ)
• การบริหารจัดการภายในองค์กร เช่น การจัดโครงสร้างอัตรากำลัง การโอนย้าย การเปลี่ยนหน้าที่งาน การปรับระดับพนักงาน การเกษียณอายุ ฯลฯ
• การจัดให้มีการฝึกอบรม และพัฒนาบุคลากร เช่นการปฐมนิเทศและเรียนรู้งาน (on-boarding processes การจัดอบรมหลักสูตรทั้งภายในและภายนอก การทำทะเบียนการอบรมและการยื่นขอรับรอง หลักสูตรและค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมจากหน่วยราชการ เป็นต้น
• การจ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทน และการให้ผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ค่าจ้าง อัตราการขึ้นเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการต่างๆ
• การบริหารจัดการการลาให้สอดคล้องกับข้อบังคับการทำงานของบริษัท
• การติดต่อสื่อสาร รวมถึงการให้การอ้างอิงและคำแนะนำ
• วัตถุประสงค์ทางด้านสถิติและการวิเคราะห์ เพื่อการพัฒนาบุคลากรและปรับปรุงกระบวนการทำงาน
• การปฏิบัติตามภาระหน้าที่ทางกฎหมาย เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับแรงงาน สุขอนามัย และความปลอดภัย หรือตามที่หน่วยงานของรัฐร้องขอ
• การจัดเก็บประวัติการดำเนินการทางวินัยต่อพนักงาน เพื่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการกำหนดมาตรการทางวินัยเมื่อจำเป็น
• การดำเนินการตรวจสอบภายในเพื่อติดตามเรื่องร้องเรียนหรือการเรียกร้อง ติดตามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพนักงาน และป้องกันการฉ้อโกง
• การติดต่อในกรณีฉุกเฉินไปยังบุคคลที่เจ้าของข้อมูลกำหนด
• การป้องกันกิจกรรมของพนักงานซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือการละเลยหน้าที่
• การคุ้มครองความลับของข้อมูลและสินทรัพย์ของบริษัท
• วัตถุประสงค์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานของเจ้าของข้อมูล (เช่น การดำเนินกิจกรรมหรือการดำเนิน งานเพื่อหรือในนามของบริษัท) หรือตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างงานของเจ้าของข้อมูล ข้อบังคับการทำงานหรือเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรบุคคล
4.3 บริษัทจะไม่เก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้แจ้งแก่เจ้าของข้อมูล เว้นแต่
(1) ได้แจ้งวัตถุประสงค์ใหม่ให้เจ้าของข้อมูลทราบ และได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
(2) เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนด
5. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
5.1 บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้แจ้งแก่เจ้าของข้อมูลเท่านั้น
โดยบริษัทจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลในกรณีดังต่อไปนี้
(1) บริษัทได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
(2) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาหรือตามคำขอของเจ้าของข้อมูล รวมทั้งเปิดเผยเพื่อให้การทำธุรกรรมหรือกิจกรรมใดๆ ของเจ้าของข้อมูลสามารถดำเนินการได้โดยบรรลุวัตถุประสงค์ของเจ้าของข้อมูล
(3) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น การเปิดเผยแก่นิติบุคคลหรือองค์กรเพื่อการดำเนินการในการตรวจสอบและป้องกันการฉ้อฉล การบันทึกภาพในการประชุมหรือทำธุรกรรมกับบริษัท เพื่อการรักษาความปลอดภัยของบริษัท เป็นต้น
(4) เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ทางการหรือคำสั่งของหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแล หรือหน่วยงานทางการที่มีอำนาจตามกฎหมาย เช่น กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมบังคับคดี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ศาล กรมบังคับคดี ตำรวจ หรือหน่วยงานราชการอื่นใด ตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น
(5) เปิดเผยให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคล หรือองค์กรอื่นใด ดังนี้
(ก) ผู้ให้บริการภายนอกของบริษัท (Outsource / Service Provider) เช่น ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ธนาคาร ผู้ให้บริการชำระเงิน บริษัทประกันภัย โรงพยาบาล ตัวแทนยื่นขอวีซ่าหรือใบอนุญาตทำงาน บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล ผู้ให้บริการระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคล ผู้ให้บริการ ฝึกอบรมหรือผู้ให้บริการทางการเงิน เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล สำหรับการประมวล ผลข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่ระบุในข้อ 4 ของนโยบายฉบับนี้
(ข) หน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย เช่น กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกัน สังคม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมบังคับคดี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และสำนักงานส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ศาล กรมบังคับคดี ตำรวจ หรือหน่วยงานราชการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ หรือภาระหน้าที่ทางกฎหมาย
6. การปรับปรุง ทบทวน หรือแก้ไข นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านทรัพยากรบุคคล
บริษัทอาจดำเนินการปรับปรุง ทบทวน หรือ แก้ไข นโยบายฉบับนี้ได้ ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด หรือเป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของบริษัท กฎหมาย กฎเกณฑ์ของหน่วยงานทางการที่มีอำนาจ หากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายฉบับนี้
สิทธิของเจ้าของข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
6.1 ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลประสงค์จะทราบหรือขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้บริษัทเปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้ให้ความยินยอม เจ้าของข้อมูลสามารถมีคำร้องขอตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บริษัทกำหนด
6.2 ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลเห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคลใดที่เกี่ยวกับตนไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน ไม่สมบูรณ์ หรืออาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เจ้าของข้อมูลสามารถขอให้บริษัทดำเนินการแก้ไขเพื่อให้ข้อมูลถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ โดยทำคำร้องขอต่อบริษัทตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บริษัทกำหนด ในกรณีที่บริษัทไม่ดำเนินการตามคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลตามวรรคแรก บริษัทจะจัดทำบันทึกคำร้องขอของเจ้าของข้อมูล พร้อมด้วยเหตุผลไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้เจ้าของข้อมูลสามารถตรวจสอบได้
6.3 เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอเพิกถอนความยินยอมที่ให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตนเมื่อใดก็ได้ เว้นแต่การเพิกถอนความยินยอมจะมีข้อจำกัดโดยกฎหมายหรือสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่เจ้าของข้อมูล เช่น เจ้าของข้อมูลยังมีสัญญาจ้างกับบริษัท หรือเจ้าของข้อมูลยังมีภาระหนี้หรือภาระผูกพันตามกฎหมายอยู่กับบริษัท เป็นต้น ทั้งนี้ การเพิกถอนความยินยอมดังกล่าวอาจทำให้เจ้าของข้อมูลไม่สามารถรับบริการหรือทำธุรกรรมกับบริษัทได้ หรืออาจทำให้บริการที่จะได้รับจากบริษัทไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
6.4 เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนจากบริษัทได้ ในกรณีที่บริษัทได้ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่าน หรือ ใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้หรือเปิดเผยได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้ง (ก) มีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่น เมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ หรือ (ข) ขอรับข้อมูลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่สภาพทางเทคนิคไม่สามารถทำได้
6.5 เจ้าของข้อมูลมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนเมื่อใดก็ได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) กรณีที่เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ด้วยเหตุจำเป็นเพื่อการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัทหรือ เหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท เว้นแต่ (ก) บริษัทแสดงให้เห็นถึงเหตุ อันชอบด้วยกฎหมายที่สำคัญยิ่งกว่า หรือ (ข) เป็นไปเพื่อก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตาม หรือ การใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือ การยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
(2) กรณีที่เป็นการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง
(3) กรณีที่เป็นการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติ เว้นแต่การจำเป็นเพื่อการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท
6.6 เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้บริษัทลบ หรือ ทำลาย หรือ ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผย
(2) เมื่อเจ้าของข้อมูลถอนความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และบริษัทไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้ต่อไป
(3) เมื่อเจ้าของข้อมูลคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามข้อ 6.5 (1) และบริษัทไม่อาจปฏิเสธคำขอคัดค้าน หรือเป็นการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง
(4) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลได้ถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
6.7 เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อบริษัทอยู่ในระหว่างการตรวจสอบตามที่เจ้าของข้อมูลร้องขอให้ดำเนินการให้ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ หรือไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
(2) เมื่อเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องลบหรือทำลาย เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เจ้าของข้อมูลขอให้ระงับการใช้แทน
(3) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล แต่เจ้าของข้อมูลมีความจำเป็นต้องขอให้เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการก่อตั้งสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตาม หรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือ การยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
(4) เมื่อบริษัทอยู่ในระหว่างการพิสูจน์ให้เห็นถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายที่สำคัญยิ่งกว่า หรือ การก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตาม หรือ การใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือ การยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูล
6.8 เจ้าของข้อมูลมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่บริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือประกาศที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว
ทั้งนี้ สิทธิของเจ้าของข้อมูลดังกล่าวข้างต้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบริษัทอาจไม่สามารถดำเนินการตามคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลได้ในกรณีที่กฎหมายกำหนด หรือในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกทำให้ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้ หรือในกรณีที่บริษัทมีประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate interest) ที่จะเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เจ้าของข้อมูลยังใช้บริการหรือทำธุรกรรมอยู่กับบริษัท หรือบริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือเพื่อการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ แม้ว่าเจ้าของข้อมูลจะยุติความสัมพันธ์กับบริษัทแล้ว เป็นต้น
7. มาตรการความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล บริษัทจึงกำหนดให้มีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง ทำลาย ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่มีสิทธิหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามที่กำหนดในนโยบายและ/หรือแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท
8. การใช้บังคับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้มีผลใช้บังคับกับข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่บริษัทเป็นผู้เก็บรวบรวม ใช้ และ เปิดเผย และเจ้าของข้อมูลตกลงให้บริษัทมีสิทธิในการเก็บรวบรวม และนำข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมไว้แล้ว (หากมี) ตลอดจนข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลที่บริษัทเก็บรวบรวมในปัจจุบัน และที่จะได้เก็บรวมรวมในอนาคต ไปใช้ หรือเปิดเผยแก่บุคคลอื่นภายในขอบเขตตามที่ระบุไว้ในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้
9. ข้อมูลที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
หากเจ้าของข้อมูลให้ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลภายนอกใด ๆ เช่น คู่สมรส บุตร บิดา มารดา บุคคลในครอบครัว ผู้รับผลประโยชน์ บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการถือหลักทรัพย์ของเจ้าของข้อมูล เจ้าของข้อมูลขอรับรองว่าเจ้าของข้อมูลมีอำนาจที่จะให้ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าว และมีหน้าที่ให้บุคคลดังกล่าวอนุญาตให้บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวตามนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ได้ อีกทั้งเจ้าของข้อมูลต้องรับผิดชอบในการแจ้งให้บุคคลดังกล่าวทราบถึงนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ และขอรับความยินยอมจากบุคคลดังกล่าวที่เกี่ยวข้อง
10. การทบทวนนโยบาย
ด้วยธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทบทวนนโยบายฉบับนี้ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
11. กฎหมายที่ใช้บังคับและเขตอำนาจศาล
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้อยู่ภายใต้การบังคับและตีความตามกฎหมายไทย และให้ศาลไทยเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาข้อพิพาทใดที่อาจเกิดขึ้น
12. ช่องทางการติดต่อ
หากเจ้าของข้อมูลประสงค์จะติดต่อ หรือมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงสิทธิของเจ้าของข้อมูลตามนโยบายฉบับนี้ หรือต้องการยกเลิกการให้ความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือกรณีที่พบว่ามีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลไปในทางที่ไม่ชอบ เจ้าของข้อมูลสามารถติดต่อบริษัท ผ่านช่องทาง ดังต่อไปนี้
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล : |
นายอภิชาติ สุภาเดช |
สถานที่ติดต่อ : |
บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เลขที่ 444 ชั้น 8 อาคาร เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 |
ประกาศ ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2563
โดยมติคณะกรรมการบริษัท
( นายสมพล ตรีภพนารถ )
กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า